รำลึกถึงเช้ามืดเมื่อ 6 ตุลาคม
1
ลมแรง กระพือพัด แล่นหวือกระเส่าวือเว้า ผ้าม่านชนแจกัน ผมคว้าไว้ไม่ทัน ลมพัดกระจกบานใหญ่ หล่นตกแตกเสียงดังกระหึ่ม ราวแผ่นดินไหว เศษส่วนน้อยเล็กหนาน้อย กระเด็น กระดอน กระซาน ซ่านเซ็น ตกแตกหล่นบนพื้นกระเบื้องลายลิลลี่เหลืองอ่อน เปลือกตา กระทบกระเทือน ทบทั่ง เป็นลวดลายที่สถาปนิกไม่ได้ออกแบบ ไฟดับ มืดกลัว อากาศหนาวเช้าเย็น ฝนชื้นไม่เหมือนช่วงหัวค่ำ ตัวหนาวสั่น ตระหนักแค่ตนอาศัยในเงามืด โสตสำนึกบอดใบ้
ลางร้ายปรากฏรูป เงาตะคุ่มๆ มองคล้ายใบหน้าของรายนามที่เคยถูกธนูแทงเมื่อปีกลาย โต๊ะและแก้วค่อยๆ ปรากฏร่างกาย หน้าต่างค่อยๆ ลอยชนจินตนาการ เสียงกระดิ่งลิงโลด ดังคล้ายเสียงเพรียกหาจากก้นบาดาล ลึกแท้ยากเกินหยั่งถึง
ฝนตกพรำด้านนอก กระแทกกระทั้นแผ่นสังกะสี เสียงระรัวเร็ว ไม่หยุดหย่อน ไม่เป็นจังหวะ
เป็นเสียงห่ากระสุนโปรยปราย รวดเร็ว แหลมคม และจู่โจม
กระจกตกแตก อนุสรณ์ทางความทรงจำปริแตกหลากชิ้น กระจุยกระจาย โล่รางวัลที่เคยได้รับจากการเล่านิทาน โล่รางวัลที่เคยได้รับจากการเป็นนักเรียนดีเด่น โล่รางวัลที่เคยได้รับจากการช่วยเหลือชุมชนชรา เศษส่วนอัปลักษณ์ เขี้ยวเล็บพญาเสือโคร่ง เบี้ยวบิด คดงอ เป็นลางร้าย กระจกเป็นเสี้ยวความรู้สึกที่เว้าแหว่ง ความมืดคือมิตรสหายเดืยวที่ทักทาย ฉากในนิมิตกำลังปรากฏเรือนร่างขึ้นมาในเงาตะคุ่ม บนความหวาดกลัว บนความว้าเหว่ใจ
เดินจากชั้นบนไปยังชั้นล่างของบ้าน
เห็นเงาตะคุ่ม
ใหญ่ยักษ์ โอ่อ่า
และร้องไห้
2
ลมหวืออุ้มโอบโพยพากลิ่นอายโศกสลดจากดินแดนไกลโพ้น โชยโชติช่วงเด่นดวงเหนือสูงสู่ชั้นสองของบ้าน ลึกล้ำถลาลงบนกึ่งกลางหน้ากระดาษ เข้ากลางใจบ้าน ผ่านห้องนั่งเล่น ผ่านห้องพระ ห้องทำงาน ผมหุนหัน ผละจากงานที่แปลค้าง คำธรรมดาสามัญที่ไม่ปกติ ยังแปลไม่เสร็จ พลางเร่งฝีเท้า ก้าวเข้าห้องเก็บ เปิดไฟ ไฟดับ ผมกวาดสายตาหาไม้กวาดทางมะพร้าว เอื้อมจับที่ตักผง และหยิบก้านไม้กวาดที่อยู่ตรงพื้น ใจไม่อยู่กับร่องกับรอย มือควานหายาแดง สำลี และเข็มเส้นด้าน พอปฐมพยาบาลแผลลึก
ไม่มีวันใด ที่เคยรู้สึกฉงนเท่าวันนี้
ไม่มีวันใด ที่ประหลาดใจขนาดนี้
หมาพันธุ์ทางสีขาวใหญ่ยักษ์ นอนขดตัวงอคุดคู้บนกระเบื้องลิลลี่เหลืองอ่อน
ในบ้านของผม กลางใจบ้านของผม
กำลังบาดเจ็บ จากแผลแห่งจินตนาการ
รอยกล้ามเนื้อ ฉีกขาด เว้าหนาลึก ไม่มีเสียงร้องเล็ดรอดจากพยานปากเอก กัดฟันฝันคร่ำครวญต่อชะตากรรมร้าย คงหลบภัยมาจากแดนป่าเถื่อนที่ไม่มีโอตคำ หลบหนีมาจากค่ายกักกัน ผมคิด หรือไม่ก็คงไม่มีภาษาใดสื่อถึงแผลบาดลึกที่อยู่ฝังลึกอยู่ในร่างสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีใครย่างกรายไปรื้อแงะ หรือสำรวจแผลเจ็บปวดเหล่านั้นอย่างเป็นรูปธรรม อสูรกายไร้ร่างหิวกระหายเลือดที่ไหลออกมาจากแผลนั้น แผลเป็น แผลตราบาป แผลที่เกิดขึ้น สะเก็ดแผลและแผลเป็นคงไม่ทิ้งรอยประทับอะไรไว้ นอกจากวันนี้จะผ่านไปด้วยดี การสมานแผลหวังว่าจะเกิดขึ้น หวังว่าจะเกิดขึ้น
ผมจ้องมองไปยังสัตว์ประหลาดที่บาดเจ็บ เอ่ยถาม ด้วยความหวังดี
3
สงครามกระเซ็นซัดเข้ามาบ้าน จารึกลงบนหินแกรนิต ฝังลึกลงบนประสาทสัมผัส ไม่เจ็บหรอกหรือ ผมถาม หมาใหญ่สีขาวหลับตา ไร้ความกังวล แผ่วเบา ทิ้งทอดยาวให้เสียงกระจกหล่นแตกเป็นเสียงกังวานเขย่าเยื้อแก้วหูอยู่วันยังค่ำ หลอกหลอนแต่โมงยามที่อ่อนแอ เรี่ยวแรงกายใจปล่อยให้เสียงพื้นสะเทือนสั่นเหมือนแผ่นดินไหวเกาะกุมผนังหัวใจที่บางเกินต้านไหว ความเจ็บปวดรั้งมือทั้งสองข้าง ฝากใจไว้เป็นสัญญา เพื่อฟาดแส้ลงบนหัวใจที่เปราะบาง จิตหนึ่งดวงไม่อาจไถ่บาปแก่ความวิปโยคได้หมดจด สัตว์ใหญ่บอกกล่าว ความเพ้อคลั่งคงมี แต่ใกล้สูญหายไป
ผมหลบสายตา ไม่กล้ามองจ้อง เสียงสะเทือนขวัญกลืนหายไปกับเสียงหายใจของสัตว์ใหญ่ เพราะความเจ็บป่วยไม่ปรากฏ ยาแดงที่ซับแผลปนมั่วไปกับเลือดไหลซิบๆ จากท้องน้อย ไอเขม่าเจือปนกับสาบเหงื่อเสือ หยาดฝนปะปนไปกับถ้อยคำที่ยังหาคำแปลไม่ได้ คำที่ติดค้างเติ่งอยู่ในหัวสมอง และหน้ากระดาษ ยังไม่ได้ตีพิมพ์ รอวันตีพิมพ์
เมื่อวิ่งเข้าบ้านผมมา ละอองขนขาว ดุจปุยนุ่น กำลังลอยกลางอากาศ
ขนสีขาว บนลำตัวของสัตว์ใหญ่ เป็นสีแดงฉาด ดั่งดวงอาทิตย์ดับแสง
สาบของเสื้อที่เปียกปอนสะกด ไม่สิ้นสงสัย ผมเห็นน้ำที่กัดเซาะเรือนร่างของหมาสีขาวใหญ่ยักษ์นั่นจะไหลบ่าลงสู่ธรณีที่ร่ำไห้ รอยไหม้ที่เห็นกลางหลังสุนัขตัวนั้นดูเจ็บปวด ภาวนาให้จิตใจที่ไม่เพ้อพร่ำ เสียงกระซิบในใจไม่ได้แพ้เสียงกู่ร้องเอาฤกดิ์เอาชัย ความเป็นไปของกระจกที่หล่นตกแตกปรากฎอยู่ตรงนั้น เหมือนดั่งเพลิงดาวสุกสกาว เป็นกังหันลมหนาว เป็นความโมโหโกรธา
เสียงกระดิ่งกระโจมจำแว่ววั่นแล่นปรือมา จากโลกใต้บาดาลของจิตไร้สำนึก
หนึ่งอสงไขย ไม่ได้นานเกินชั่วประเดี๋ยวเดียว
“ โอ้ เพื่อนเอ๋ย เราคงต้องไปจากบ้านหลังนี้เสียแล้ว สัญญาณหายนะใกล้เข้ามาแล้ว คืบคลานดั่งหมอกธุมเกตุ เสียงเมฆหมอกครึ้มฟ้าฝนนั่นเป็นบทสบถของดวงจิต ตกยาก สีดำทมิฬ เป็นสัญญาณหายนะ เสียงดังกัมปนาท เป็นรอยปริแยกแห่งโลกใต้พื้นบาดาล ” สัตว์ใหญ่กล่าว
“ถึงเวลาแล้วเพื่อนเอ๋ย เราร่ำลากันเสียที”
4
คำปฏิเสธใหญ่กว่าสิ่งใด เมื่อแผลหายดี มันจะเดินทางต่อ เดินทางไปมลรัฐแคลลิฟอร์เนีย ที่ที่มายาภาพคือการตัดคำ และการรื้อโครงสร้าง
สัตว์ใหญ่ไม่ยินยอมใช้ตัวอักษรร่วมกันกับผม แม้ว่าผมพอมีที่ทางให้นั่งรออยู่ ถ้าอยู่ร่วมกันก็เหมือนมีปมชีวิตอะไรที่แชร์ร่วมกันได้ ช่วยผมแปลตัวอักษรที่ค้างไว้อยู่ก็ได้ ใช้ชีวิตเหมือนเป็นฤาษีที่คิดหรืออ่านอะไรยากๆ แล้วพยายามใช้งานเขียนเพื่อเป็นยารักษาโรคบ้า และการป้องกันการฆ่าตัวตายทางอ้อม
เจ้าสัตว์ใหญ่รู้ดี การรักษาความรู้สึกลึกในใจ ทำผ่านระลอกคลื่นของเวลา ผู้เวียนว่ายอยู่ในสายธารของห้วงคะนึงคิด ขบเคี้ยวส่วนผสมอันพิลึกพิลั่นว่าเป็นคนชนชั้นสูงจอมปลอม และสารัตถะลึกซึ้งของความเป็นมนุษย์ วัตถุที่เว้าโหว่ กระพร่องกระแพร่ง และมีหลุมอากาศขนาดใหญ่ที่ไม่มีวันถมเต็ม เรื่องของโชคชะตา ที่ทำให้วันนี้ผมสามารถนั่งพิมพ์งานด้วยคีย์บอร์ดกับไอแพดแอร์อย่างรวดเร็ว และเผอิญจ้องหน้ากับแววตาไร้เงาของสัตว์เดรัจฉานตนนี้
ชีวิตนี้ ไม่มีอะไรเดียวดายมากเท่าตัวอักษรที่ไม่มีตัวสะกด คำที่ไม่มีประโยค จุดว่างที่ไม่ได้ถูกมองเห็นและชื่อของตัวละครที่ไม่เคยได้รับการเอ่ยถึงสักครั้งในบทกวี
ไม่เห็นอะไร นอกจากเส้นทางว่างเปล่าไร้คำสะกด
ฉาก ปราศจากม่านกั้น และหมาตัวมหึมาที่กลายร่างเป็นเงาตะคุ่มของวันวาน
เงาตะคุ่มของคืนวาน
และขนปุยสีขาว ที่มีสัมผัสอ่อนนุ่มเมื่อครั้งวัยเยาว์.
พชรกฤษณ์ โตอิ้ม |
Podcharakrit To-im
นักวารสารศาสตร์ และนักถ่ายทำภาพยนตร์ชาวไทย ที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น สื่อศึกษา การเมืองในชีวิตประจำวัน และผลิตงานสื่อในหลากหลายมิติ
นักวารสารศาสตร์ และนักถ่ายทำภาพยนตร์ชาวไทย ที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น สื่อศึกษา การเมืองในชีวิตประจำวัน และผลิตงานสื่อในหลากหลายมิติ